28 Years Later (2025) 28 ปีให้หลัง เชื้อเขมือบคน

คะแนน IMDB (โดยประมาณ): 6.7/10 (อิงตามคะแนนผู้ชมในช่วงแรก) คะแนน Metacritic (อิงตามนักวิจารณ์): 77/100 (Generally Favorable) คะแนน Rotten Tomatoes (อิงตามนักวิจารณ์): 89%

ผู้กำกับ: แดนนี่ บอยล์ (Danny Boyle) ผู้เขียนบท: อเล็กซ์ การ์แลนด์ (Alex Garland) นักแสดงนำ:

  • โจดี้ โคเมอร์ (Jodie Comer) เป็น ไอส์ล่า (Isla)
  • แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน (Aaron Taylor-Johnson) เป็น เจมี่ (Jamie)
  • อัลฟี่ วิลเลียมส์ (Alfie Williams) เป็น สไปค์ (Spike) ลูกชาย
  • ราล์ฟ ไฟนส์ (Ralph Fiennes) เป็น ดร. เอียน เคลสัน (Dr. Ian Kelson)
  • แจ็ค โอ’คอนเนลล์ (Jack O’Connell) เป็น จิมมี่ (Jimmy) (บทบาทเปิดเผยตอนท้ายเรื่อง)
  • คิลเลียน เมอร์ฟี (Cillian Murphy) รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างฝ่ายบริหาร และมีส่วนร่วมในเนื้อเรื่อง

เรื่องย่ออย่างละเอียด (Plot Summary)

 

28 Years Later เป็นภาคต่อที่รอคอยมานานของแฟรนไชส์ 28 Days Later โดยกลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้งระหว่างผู้กำกับ แดนนี่ บอยล์ และผู้เขียนบท อเล็กซ์ การ์แลนด์

  1. โลกที่ถูกกักกัน: ภาพยนตร์เริ่มต้นด้วยฉากเปิดที่น่าสะเทือนใจจากช่วงแรกของการระบาดของไวรัส Rage ในอังกฤษ โดยมีเด็กชายคนหนึ่งชื่อ จิมมี่ (Jimmy) หนีรอดจากการโจมตีของ Infected ได้อย่างหวุดหวิด ต่อมาภาพยนตร์ตัดมาที่ 28 ปีต่อมา ไวรัส Rage ถูกยับยั้งไม่ให้แพร่กระจายไปทั่วยุโรปภาคพื้นทวีป แต่เกาะบริเตนใหญ่ยังคงอยู่ภายใต้ การกักกันอย่างเข้มงวด
  2. ชุมชนบนเกาะ: เรื่องราวหลักเกิดขึ้นที่ ลินดิสฟาร์น (Lindisfarne) หรือเกาะศักดิ์สิทธิ์ในนอร์ทัมเบอร์แลนด์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของชุมชนผู้รอดชีวิตที่เข้มแข็ง ชุมชนนี้ได้รับการปกป้องโดยธรรมชาติจากถนนทางเชื่อม (Causeway) ที่น้ำทะเลจะท่วมในช่วงน้ำขึ้น ทำให้เกาะแห่งนี้เป็นเหมือนโอเอซิสเล็ก ๆ
  3. ครอบครัวโลเวลล์: เราติดตามครอบครัวของ เจมี่ (Aaron Taylor-Johnson) นักเก็บของและหาเสบียง, ไอส์ล่า (Jodie Comer) ภรรยาของเขาที่กำลังป่วยด้วยอาการทางจิตที่ทรุดโทรมลง (ภายหลังเปิดเผยว่าเป็นมะเร็งระยะลุกลาม) และ สไปค์ (Alfie Williams) ลูกชายวัย 12 ปี
  4. การผจญภัยสู่แผ่นดินใหญ่: เจมี่และสไปค์เดินทางข้ามถนนทางเชื่อมไปยังแผ่นดินใหญ่ของอังกฤษเพื่อทำพิธี ล่าสัตว์เพื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ของสไปค์ ที่นั่นพวกเขาเผชิญหน้ากับ Infected ที่วิวัฒนาการแล้ว ซึ่งรวมถึง “อัลฟ่า” (Alpha) มนุษย์ติดเชื้อที่ตัวใหญ่ แข็งแรง และฉลาดกว่า
  5. การตัดสินใจของสไปค์ (สปอยล์): หลังจากรอดชีวิตกลับมาที่เกาะ สไปค์เริ่มมีปัญหากับพ่อเมื่อเขาค้นพบว่าเจมี่นอกใจแม่ของเขา ประกอบกับอาการป่วยของไอส์ล่าที่เลวร้ายลง สไปค์จึงตัดสินใจครั้งสำคัญ คือ พาไอส์ล่าแม่ของเขากลับไปยังแผ่นดินใหญ่ เพื่อตามหา ดร. เอียน เคลสัน (Ralph Fiennes) อดีตแพทย์ที่ถูกเนรเทศ ซึ่งเชื่อกันว่าอาจมีทางรักษา
  6. การเผชิญหน้ากับความจริง (สปอยล์เต็ม): ในระหว่างการเดินทางเหมือน “พ่อมดแห่งออซ” ที่น่าสยดสยอง สไปค์และไอส์ล่าเผชิญหน้ากับทั้ง Infected ที่ดุร้าย และ อีริก ซันด์ควิสต์ (Erik Sundqvist) ทหารเรือสวีเดนที่รอดชีวิตจากหน่วยกักกันของ NATO พวกเขาพบ Infected ที่กำลังจะคลอดลูก ซึ่งไอส์ล่าช่วยทำคลอดทารกที่ไม่ติดเชื้อออกมาได้
  7. ดร. เคลสันและบทสรุปของความตาย: ดร. เคลสันปรากฏตัวขึ้นและช่วยเหลือพวกเขา เขาเปิดเผยว่าไอส์ล่ากำลังจะตายด้วยโรคมะเร็ง และพาพวกเขาไปที่อนุสาวรีย์ที่สร้างจากกระดูกมนุษย์ (Memento Mori) เพื่อเน้นย้ำแนวคิดเรื่อง ความตายที่สงบสุข (The Best Kind Of Death) ไอส์ล่าเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งอย่างสงบตามที่ ดร.เคลสันเคยกล่าวไว้ ไม่ใช่จาก Infected หรือความรุนแรง
  8. ฉากจบและการเชื่อมโยง (สปอยล์เต็ม): สไปค์ออกจากบ้านของเคลสัน โดยทิ้งทารกที่ไม่ติดเชื้อไว้ที่ประตูชุมชนบนเกาะ พร้อมกับข้อความถึงเจมี่ผู้เป็นพ่อ จากนั้นเขากลับไปยังแผ่นดินใหญ่ด้วยความมุ่งมั่นที่ชัดเจนขึ้น ฉากสุดท้ายที่น่าตกใจคือ: สไปค์ได้รับการช่วยเหลือจากกลุ่มผู้รอดชีวิตที่ดูเหมือนจะเป็นลัทธิ ซึ่งนำโดย จิมมี่ (Jack O’Connell) เด็กชายที่รอดชีวิตในฉากเปิดเรื่อง จิมมี่ในวัยผู้ใหญ่นำลัทธิที่ดูบิดเบือนและเป็นอันตราย ซึ่งบ่งชี้ว่า ความอันตรายไม่ได้มาจาก Infected เพียงอย่างเดียว แต่มาจากผู้รอดชีวิตด้วยกันเอง และเปิดประตูสู่ภาคต่อ 28 Years Later: The Bone Temple

 

บทวิจารณ์เชิงวิพากษ์ (Critique)

 

28 Years Later ได้รับคำชมอย่างกว้างขวางจากนักวิจารณ์ว่าเป็นการกลับมาของแฟรนไชส์ที่ ตื่นเต้น น่ากลัว และเปี่ยมไปด้วยปัญญา

  • การกลับมารวมตัวที่เฉียบขาด: การกลับมาของ แดนนี่ บอยล์ และ อเล็กซ์ การ์แลนด์ สร้างความมั่นใจให้กับคุณภาพของภาพยนตร์อีกครั้ง บอยล์ยังคงใช้การถ่ายทำแบบ ดิบและเร่งรีบ (filmed using iPhone technology) เพื่อรักษาความรู้สึกกระตุกและเร่งรีบของการระบาดไวรัส Rage ในแบบที่ภาพยนตร์ต้นฉบับเคยทำไว้
  • การสำรวจธีมที่ลึกซึ้ง: แทนที่จะเป็นแค่หนังสยองขวัญซอมบี้ทั่วไป ภาพยนตร์เรื่องนี้มุ่งเน้นไปที่ธีม ความโศกเศร้า บาดแผล และ การค้นหาความหมายของการเป็นมนุษย์ ในโลกที่ล่มสลาย การ์แลนด์ใช้โครงสร้างแบบ “Coming-of-Age” ของสไปค์ และการเดินทางที่เต็มไปด้วยปรัชญาของ ดร. เคลสัน เพื่อสำรวจว่าผู้รอดชีวิตสร้าง “ตำนาน” และความหวังขึ้นมาอย่างไรหลังภัยพิบัติ
  • การแสดงที่ทรงพลัง: โจดี้ โคเมอร์ และ แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน ได้รับคำชมเชยว่าแสดงได้อย่างลึกซึ้ง แม้ว่าการแสดงส่วนใหญ่จะตกอยู่กับ อัลฟี่ วิลเลียมส์ ในบทสไปค์ ซึ่งแสดงการเติบโตและการสูญเสียได้อย่างน่าเชื่อถือ ราล์ฟ ไฟนส์ ในบท ดร. เคลสัน นำเสนอตัวละครที่ชวนให้คิดและมีความขัดแย้งในตัวเอง
  • การพัฒนาโลก: ภาพยนตร์พัฒนาโลกของ Rage Virus ไปอีกขั้นด้วยการแนะนำ “อัลฟ่า” (Alpha) ที่มีความฉลาดและเป็นผู้นำ และการเน้นย้ำว่าแม้ไวรัสจะถูกจำกัด แต่ การกักกัน และ อันตรายจากมนุษย์ด้วยกัน ยังคงเป็นภัยคุกคามที่แท้จริง
  • ข้อเสีย (ที่มาพร้อมกับความคิดเห็นที่แตกแยก):
    • ผู้ชมบางส่วนรู้สึกว่า ขาดการพัฒนาตัวละคร โดยเฉพาะครอบครัวโลเวลล์ในช่วงแรก
    • การหักมุมตอนท้าย (Jimmy’s Cult): ฉากจบที่ปูไปสู่ภาคต่อ 28 Years Later: The Bone Temple ถูกมองว่าเป็นการเปลี่ยนโทนเรื่องที่ รุนแรงและฉีกแนว จนเกินไป จากเรื่องราวเชิงปรัชญาไปสู่การเป็นหนังสยองขวัญแนวลัทธิ/เอาชีวิตรอดที่ตรงไปตรงมา
    • บางคนยังวิจารณ์การตัดต่อที่ “กระตือรือร้นเกินไป” (over-zealous editing) ของบอยล์ว่าอาจทำให้เสียสมาธิไปบ้าง

ตัวอย่างหนัง

 

สรุป:

28 Years Later (2025) เป็นภาคต่อที่ประสบความสำเร็จในการให้ความเคารพต่อรากฐานของแฟรนไชส์ ขณะเดียวกันก็ขยายขอบเขตทางอารมณ์และปรัชญาออกไป ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นมากกว่าการวิ่งหนีจากซอมบี้ แต่เป็น มหากาพย์ที่น่าหลงใหลและเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ที่ตั้งคำถามถึงสภาพของมนุษย์หลังภัยพิบัติ แม้ว่าจะมีบางส่วนที่ดูเร่งรีบและตอนจบที่แบ่งผู้ชมออกเป็นสองฝ่ายเพื่อปูทางสู่ภาคต่อ แต่โดยรวมแล้วมันเป็น หนึ่งในภาพยนตร์สยองขวัญซอมบี้ที่ดีที่สุดในรอบหลายปี และเป็นการเริ่มต้นไตรภาคใหม่ที่น่าจับตามอง

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *